จักรยานไฟฟ้าพับได้มีคุณลักษณะอย่างไร

จักรยานพับได้ไฟฟ้าเป็นยานพาหนะส่วนบุคคลที่ใช้พลังงานในการขับเคลื่อนที่ถูกที่สุดแต่มีความความสะดวกเพิ่มขึ้นลองมาดูกันนะครับ จักรยานไฟฟ้าแบบพับได้มีความนิยมสูงขึ้น เนื่องจากสามารถใช้เป็นแบบ mix mode transportation หรือการขนส่งแบบผสมผสาน เช่น คนทำงานที่อยู่แถวสีลม บ้านอยู่ลาดพร้าว ก็สามารถใช้จักรยานไฟฟ้าพับได้โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT และ รถไฟฟ้าลอยฟ้า BTS ทำให้เดินทางได้โดยไม่ต้องพึ่งพามอเตอร์ไซค์รับจ้าง และหลีกเลียงรถติดได้ จักรยานไฟฟ้าพับได้ สามารถนำใส่ไว้ในรถ, ขึ้นรถไฟ, ขึ้นรถทัวร์, ขึ้นรถตู้ เมื่ออยากใช้ที่ไหน ก็นำไปใช้ได้ จักรยานไฟฟ้าพับได้ยังสามารถนำขึ้นลิฟท์เข็นเข้าคอนโดได้ด้วย ด้วยเหตุนี้ทำให้จักรยานไฟฟ้าพับได้เป็นที่นิยมกันมากในปัจจุบัน ถ้าระยะทางจากที่ทำงานกับที่พักไม่ไกลมาก (<10-40 กม.) การใช้จักรยานไฟฟ้าปั่นไปทำงานยังเพิ่มความสะดวก สามารถนำเก็บไว้ในที่ทำงานได้ ยังสามารถใช้ปั่นไปซื้อของที่ตลาดหรือเซเว่นและตามห้างต่างๆ ปั่นไปทำงานเหงื่อไม่โชกและปั่นกลับแบบจักรยานธรรมดาออกกำลังกายได้ การปั่นจักรยานไฟฟ้ายังรู้สึกปลอดภัยจากหมาจรจัด ผู้ใช้จักรยานหลายๆคน ตกใจเมื่อหมาจรจัดไล่จักรยาน บางคนถึงขั้นจักรยานล้มก็ยังมี หมาจรจัดมักจะตามจักรยานไฟฟ้าไม่ทัน การปั่นจักรยานไฟฟ้ายังสามารถปั่นทวนลม ขึ้นทางชัน ได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย สำหรับท่านที่ชอบออกกำลังกายแบบไม่หักโหมจักรยานไฟฟ้าพับได้คือคำตอบอีกอย่าง ช่วยถนอมร่างกายและข้อเข่าได้ จักรยานพับได้มีแบบขนาดเล็กจนถึงขนาดใหญ่ เช่น 14” 16” 20” และ 26 “ จักรยานพับได้ควรใช้แบตเตอร์รี่ลิเทียม เนื่องจากมีขนาดเล็ก น้ำหนัก กำลังของมอเตอร์ควรมากกว่า 200-350W ก็เพียงพอในการใช้งาน สำหรับท่านที่ชอบความสะดวกคล่องตัว ควรเลือกล้อขนาดเล็ก สำหรับท่านที่ชอบปั่น ชอบลุย ชอบปั่นควรเลือกล้อขนาดใหญ่ จักรยานไฟฟ้าพับได้ล้อขนาด 14 นิ้ว

จักรยานไฟฟ้าพับได้ล้อขนาด 14 นิ้ว ขณะพับเก็บ

จักรยานไฟฟ้าพับได้เสือภูเขาล้อ 26 นิ้ว

จักรยานไฟฟ้าพับได้เสือภูเขาล้อ 26 นิ้ว ขณะพับเก็บ

การเลือกเฟรมจักรยานไฟฟ้าแบบพับได้ ควรมีลักษณะดังนี้
1.เฟรมจักรยานพับได้ (folding bike frame) เลือกตามความความชื่นชอบของคุณ เลือกตาม สถาพถนน, ระยะทาง จักรยานไฟฟ้าพับได้ มีขนาดของล้อมีตั้งแต่ 16”, 18”, 20” และ 26 “ โดยล้ออาจะเป็นได้ทั้งซี่ลวดและอลูมิเนียมหล่อทั้งชิ้น ไม่ต้องขึ้นซี่ลวด เพื่อความแข็งแรง
2.จักรยานไฟฟ้าพับได้ขนาดเล็กเหมาะสำหรับความสะดวกในการเคลื่อนย้ายและพับเก็บ ควรเลือกขนาดล้อ 16”, 18”
3.จักรยานไฟฟ้าพับได้ขนาดกลางสำหรับการใช้งานอเนกประสงค์ ควรเลือกขนาดล้อ 18” และ 20”
4.จักรยานไฟฟ้าพับได้ขนาดใหญ่เหมาะสำหรับการออกกำลังการ เช่นขนาดล้อ 20” และ 26”

จักรยานไฟฟ้าพับได้ล้อ 20 นิ้ว เหมาะกับการใช้งานอเนกประสงค์

1.หากชอบปั่นแบบนิ่มนวลควรมีระบบกันสั่นสะเทือนด้วย เช่นโช๊คอัพหน้า หรือโช๊คอัพทั้งหน้าและหลัง
2.จักรยานไฟฟ้าทั่วไปเมื่อปิดสวิทช์จะเหมือนการปั่นจักรยานธรรมดา แต่เมื่อเปิดสวิทช์จะมีระบบช่วยปั่นของจักรยานไฟฟ้า ซึ่งมีสามแบบ

- ระบบ PAS. (Peddling Assistant) คือเมื่อเท้าปั่นเซ็นเซอร์ตรวจจับความเร็วทำงานมอเตอร์จะทำงานทันที
- ระบบคันเร่ง (Throttle) เมื่อบิดคันเร่ง มอเตอร์จะทำงานตามคันเร่งบิดมากน้อย
- ระบบ เร่งแบบอัจฉริยะ (Intelligent booster) จะสามารถปรับการช่วยของมอเตอร์ได้หลายระดับตามต้องการโดยกดปุ่มเลือกระดับความแรงของมอเตอร์ได้

1.เลือกยางให้เหมาะกับสภาพถนนของคุณ ความเร็วสูงขึ้น น้ำหนักมากขึ้น อาจติดอุปกรณ์เสริมยางแบบเคฟล่ากับยางในแบบกันการทิ่มแทง (puncture resistance tube)
2.บังโคลนและกันฝุ่น เป็นทางเลือกที่ควรเลือกให้เหมาะสมกับสภาพอากาศหากมีฝนตก ก็ควรมีไว้
3.เบาะนั่งแบบกันกระแทกดีๆ
4.หากจะติดตะกร้าควรเลือกตะกร้าแบบที่ไม่ติดขัดกับการพับได้ของจักรยาน ให้ดูว่ายังพับได้ปกติ หรือเลือกแบบ ติดกับ แร๊คหลัง
5.ควรเลือดแบตเตอรี่แบบน้ำหนักเบาเป็นชนิดลิเธียม
6.ถ้าจอดด้านนอกก็ควรมีตัวล็อกหรือโซ่ล็อก อย่างดี และเบา และผ่านการตรวจสอบจากการตัด หากพับเก็บในรถหรือในบ้านก็ควรล็อกด้วยเช่นกัน
7.ควรมีแตร กริ่ง กระดิ่งต่างๆ เพื่อเตือนผู้คนบนท้องถนน
8.ควรมีไฟหน้าและไฟหลัง เพื่อความปลอดภัยในตอนเช้าตรู่และกลางคืน
9.ใช้แตรที่มีเสียงดังช่วยเตือนผู้ขับรถบนถนน ร่วมกับการควบคุมจักรยานของคุณและการเบรกให้เหมาะสม
10.การขับเคลื่อนล้อหลังจะมีการออกตัวและขับเคลื่อนที่ความนุ่มนวลกว่าแบบติดตั้งล้อหน้า หากมอเตอร์ขับเคลื่อนล้อหน้าจะมีโอกาสลื่นล้ม ออกตัวล้อฟรีมากกว่า

ข้อควรระวัง
หากจะไปไกลๆ ควรศึกษาข้อมูลจากสเปกก่อนว่าวิ่งได้ไกลสุดเท่าไร และทดสอบวิ่งเพื่อดูระยะทางที่วิ่งได้มากสุดก่อน เพราะระยะทางยังขึ้นกับน้ำหนักบรรทุก ยิ่งบรรทุกมากจะยิ่งกินไฟ จะได้กะระยะทางได้ถูกว่าถ้าจะไปไกลมากอาจจะต้องเตรียมแบตสำรองหรือชาร์จเจอร์ติดตัวไปด้วย
ถ้าใช้แบตจนหมดควรรีบชาร์จทันที ไม่ควรเก็บไว้นานๆ และถ้าหากไม่ได้ใช้เลย ควรนำแบตมาชาร์จทุกๆหนึ่งเดือน แบตเตอรี่ไม่จำเป็นต้องชาร์จทุกวันเพราะอายุของแบตเตอรี่แบบลิเทียมจะอยู่ที่จำนวนครั้งการชาร์จ เมื่อใช้เหลือสัก 40-50% ก็สามารถชาร์จได้

บทความนี้สงวนสิทธิ์ eBikr.com ห้ามนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต